ปัญหาของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาของครูและการแก้ไขปัญหาของครู
วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
งานวิจัย
การวิจัยและพัฒนาชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนของครูในโรงเรียนที่ใช้สื่อการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม
ประเภทข้อมูล สิ่งพิมพ์งานประชุมทางวิชาการการวิจัยทางการศึกษาระดับชาติ
ผู้ศึกษาผลงานวิจัย นายสถาพร กรีธาธร
ปีที่ผลงานวิจัยแล้วเสร็จ 2556
จำนวนหน้า 9
ผลงานวิจัยสอดรับยุทธศาสตร์การศึกษา ยุทธศาสตร์พัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาให้ทัดเทียมกับนานาชาติ
ผลงานวิจัยสอดรับกับกรอบและทิศทางการวิจัย พัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
ภาพรวมงานวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนของครูที่ใช้สื่อการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการสอนของครูก่อนและหลังใช้ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจที่ มีต่อชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนของครูที่ใช้สื่อการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม โดยดำเนินการด้วยการวิจัยและพัฒนา
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนของครูที่ใช้สื่อการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมมีประสิทธิภาพเท่ากับ 90.07/91.85 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ไว้ คือ 80/80
2. ประสิทธิภาพการสอนของครูที่ใช้สื่อการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมหลังใช้ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนสูงกว่าก่อนใช้ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ครูที่ใช้สื่อการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมมีความพึงพอใจต่อชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนในระดับมาก
วิธีการดำเนินงานวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Design) โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pretest-Post-test Design เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการสอนของครูก่อนและหลังใช้ ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอน
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นครูในโรงเรียนประถมศึกษาที่ใช้สื่อการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 45 โรง รวม 168 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูในโรงเรียนประถมศึกษาที่ใช้สื่อการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 จำนวน 10 โรง รวม 30 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามความสมัครใจของโรงเรียน และใช้ครูผู้สอนทุกคนในโรงเรียนเป็นกลุ่มตัวอย่าง
เครื่องมือวิจัย
1. สร้างชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนของครูในโรงเรียนที่ใช้สื่อการศึกษาทางไกลผ่าน ดาวเทียม
2. สร้างคู่มือการใช้ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนของครูในโรงเรียนที่ใช้สื่อการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม
3. สร้างแบบประเมินประสิทธิภาพการสอนของครู
4. สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของครู
5. การเก็บรวบรวมข้อมูล
6. การวิเคราะห์ข้อมูล
6.1 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
- การหาค่าความตรงด้านเนื้อหาของชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนของครู รวมทั้งคู่มือการใช้ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนของครู แบบประเมินประสิทธิภาพการสอนของครู และแบบสอบถามความพึงพอใจของครู โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาและหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC: Index of Item Objective Congruence)
- การหาประสิทธิภาพของชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนของครูในโรงเรียนที่ใช้สื่อการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม โดยการหาค่าประสิทธิภาพของนวัตกรรม (E1/E2)
- การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบประเมินประสิทธิภาพการสอนของครู และแบบสอบถามความพึงพอใจของครู โดยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (α – Coefficient) ของ ครอนบัค (Cronbach)
6.2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
- ค่าร้อยละ
- ค่าเฉลี่ยของประสิทธิภาพการสอนของครู
- ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของประสิทธิภาพการสอนของครู
6.3 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนประเมินประสิทธิภาพการสอนของครูก่อนและหลังการใช้ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอน โดยใช้สูตร t – test (Dependent Samples คำนวณโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
ผลงานการวิจัย
1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การหาประสิทธิภาพของชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพ การสอนของครูที่ใช้สื่อการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ 90.07/91.85 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ไว้ คือ 80/80
2. ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบประสิทธิภาพการสอนก่อนและหลังการใช้ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนของครู หลังจากการใช้ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอน สรุปได้ว่า คะแนนประเมินประสิทธิภาพการสอนของครูหลังใช้ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอนสูงกว่าก่อนใช้ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของครูที่มีต่อการใช้ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพิ่มประสิทธิภาพการสอน พบว่า ครูมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
จริยธรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
จริยธรรม หมายถึง " หลักศีลธรรมจรรยาที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ หรือควบคุมการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ "
ในทางปฏิบัติแล้ว การระบุว่าการกระทำสิ่งใดผิดจริยธรรมนั้น อาจกล่าวได้ไม่ชัดเจนมากนัก ทั้งนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของสังคมในแต่ละประเทศด้วย อย่างเช่น กรณีที่เจ้าของบริษัทใช้กล้องในการตรวจจับหรือเฝ้าดูการทำงานของพนักงาน เป็นต้น ตัวอย่างของการกระทำที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรม เช่นการใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่นให้เกิดความเสียหายหรือก่อความรำราญ เช่น การนำภาพหรือข้อมูลส่วนตัวของบุคคลไปลงบนอินเตอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาตการใช้คอมพิวเตอร์ในการขโมยข้อมูลการเข้าถึงข้อมูลหรือคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยทั่วไปเมื่อพิจารณาถึงจริยธรรมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศแล้วจะกล่าวถึงใน4ประเด็น ที่รู้จักกันในลักษณะตัวย่อว่า PAPA ประกอบด้วย
1. ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy)
2. ความถูกต้อง (Information Accuracy)
3 ความเป็นเจ้าของ (Information Property)
4. การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility)
1. ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy)
ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ โดยทั่วไปหมายถึง สิทธิที่จะอยู่ตามลำพัง และเป็นสิทธิที่เจ้าของสามารถที่จะควบคุมข้อมูลของตนเองในการเปิดเผยให้กับผู้อื่น สิทธินี้ใช้ได้ครอบคลุมทั้งปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์การต่างๆปัจจุบันมีประเด็นเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่เป็นข้อหน้าสังเกตดังนี้
1.การเข้าไปดูข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และการบันทึกข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการบันทึก-แลกเปลี่ยนข้อมูลที่บุคคลเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์และกลุ่มข่าวสาร
2.การใช้เทคโนโลยีในการติดตามความเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรมของบุคคล เช่น บริษัทใช้คอมพิวเตอร์ในการตรวจจับหรือเฝ้าดูการปฏิบัติงาน/การใช้บริการของพนักงาน ถึงแม้ว่าจะเป็นการติดตามการทำงานเพื่อการพัฒนาคุณภาพการใช้บริการ แต่กิจกรรมหลายอย่างของพนักงานก็ถูกเฝ้าดูด้วย พนักงานสูญเสียความเป็นส่วนตัว ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการผิดจริยธรรม
3.การใช้ข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ในการขยายตลาด
4.การรวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล์ หมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เพื่อนำไปสร้างฐานข้อมูลประวัติลูกค้าขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปขายให้กับบริษัทอื่น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ จึงควรจะต้องระวังการให้ข้อมูล โดยเฉพาะการใช้อินเตอร์เน็ตที่มีการใช้โปรโมชั่น หรือระบุให้มีการลงทะเบียนก่อนเข้าใช้บริการ เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต และที่อยู่อีเมล์
2. ความถูกต้อง (Information Accuracy)
ในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการรวบรวม จัดเก็บ และเรียกใช้ข้อมูลนั้น คุณลักษณะที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูล ทั้งนี้ ข้อมูลจะมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความถูกต้องในการบันทึกข้อมูลด้วย ประเด็นด้านจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับความถูกต้องของข้อมูล โดยทั่วไปจะพิจารณาว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความถูกต้องของข้อมูลที่จัดเก็บและเผยแพร่ เช่น ในกรณีที่องค์การให้ลูกค้าลงทะเบียนด้วยตนเอง หรือกรณีของข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ อีกประเด็นหนึ่ง คือ จะทราบได้อย่างไรว่าข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากความจงใจ และผู้ใดจะเป็นผู้รับผิดชอบหากเกิดข้อผิดพลาด
ดังนั้น ในการจัดทำข้อมูลและสารสนเทศให้มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือนั้น ข้อมูลควรได้รับการตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จะนำเข้าฐานข้อมูล รวมถึงการปรับปรุงข้อมูลให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ นอกจากนี้ ควรให้สิทธิแก่บุคคลในการเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลของตนเองได้ เช่น ผู้สอนสามารถดูคะแนนของนักศึกษาในความรับผิดชอบ หรือที่สอนเพื่อตรวจสอบว่าคะแนนที่ป้อนไม่ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลง
3.ความเป็นเจ้าของ (Information Property)
สิทธิความเป็นเจ้าของ หมายถึง กรรมสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งอาจเป็นทรัพย์สินทั่วไปที่จับต้องได้ เช่น คอมพิวเตอร์ รถยนต์ หรืออาจเป็นทรัพย์สินทางปัญญา (ความคิด) ที่จับต้องไม่ได้ เช่น บทเพลง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่สามารถถ่ายทอดและบันทึกลงในสื่อต่างๆ ได้ เช่น สิ่งพิมพ์ เทป ซีดีรอม เป็นต้น
ในสังคมของเทคโนโลยีสารสนเทศ มักจะกล่าวถึงการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ เมื่อท่านซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีการจดลิขสิทธิ์ นั่นหมายความว่าท่านได้จ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการใช้ซอฟต์แวร์นั้น สำหรับท่านเองหลังจากที่ท่านเปิดกล่องหรือบรรจุภัณฑ์แล้ว หมายถึงว่าท่านได้ยอมรับข้อตกลงเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ในการใช้สินค้านั้น ซึ่งลิขสิทธิ์ในการใช้จะแตกต่างกันไปในแต่ละสินค้าและบริษัท บางโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะอนุญาตให้ติดตั้งได้เพียงครั้งเดียว หรือไม่อนุญาตให้ใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นๆ ท่านเป็นเจ้าของ และไม่มีผู้อื่นใช้ก็ตาม ในขณะที่บางบริษัทอนุญาตให้ใช้โปรแกรมนั้นได้หลายๆ เครื่อง ตราบใดที่ท่านยังเป็นบุคคลที่มีสิทธิในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ซื้อมา การคัดลอกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้กับเพื่อน เป็นการกระทำที่จะต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่าโปรแกรมที่จะทำการคัดลอกนั้น เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ท่านมีสิทธ์ในระดับใด
4.การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility)
ปัจจุบันการเข้าใช้งานโปรแกรม หรือระบบคอมพิวเตอร์มักจะมีการกำหนดสิทธิตามระดับของผู้ใช้งาน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าไปดำเนินการต่างๆ กับข้อมูลของผู้ใช้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นการรักษาความลับของข้อมูล ตัวอย่างสิทธิในการใช้งานระบบ เช่น การบันทึก การแก้ไขหรือปรับปรุง และการลบ เป็นต้น ดังนั้น ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์จึงได้มีการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงของผู้ใช้ และการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมนั้น ก็ถือเป็นการผิดจริยธรรมเช่นเดียวกับการละเมิดข้อมูลส่วนตัว ในการใช้งานคอมพิวเตอร์และเครือข่ายร่วมกันให้เป็นระเบียบ หากผู้ใช้ร่วมใจกันปฏิบัติตามระเบียบและข้อบังคับของแต่ละหน่วยงานอย่างเคร่งครัดแล้ว การผิดจริยธรรมตามประเด็นดังที่กล่าวมาข้างต้นก็คงจะไม่เกิดขึ้น
บัญญัติ 10 ประการ
เป็นจรรยาบรรณที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยึดถือไว้เสมือนเป็นแม่บทแห่งการปฏิบัติเพื่อระลึกและเตือนความจำเสมอ
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายหรือละเมิดผู้อื่น
2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
3. ต้องไม่สอดแนมหรือแก้ไขเปิดดูในแฟ้มของผู้อื่น
4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำ
10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกามารยาท
ปัญหาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาของครู
ในปัจจุบันถือว่าเป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร การดำเนินชีวิตของมนุษย์จำเป็นต้องมีความเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เครื่องใช้ที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูงมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในวงธุรกิจและอุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูงที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกวงการ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบันเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก โดยเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคน จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์มาตั้งแต่การเกิดของมวลมนุษยชาติ การพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยนั้น มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นวิวัฒนาการของเทคโนโลยีได้ตั้งแต่ตั้งแต่ยุคหิน โลหะ บรอน เกษตร อุตสาหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิตอล พัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละยุค ส่งผลให้เกิดการสั่งสมความรู้ ทฤษฎีทักษะกระบวนการ เทคนิควิธีการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างมากมาย เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการ ความมุ่งหวัง ความพยายาม ความสามารถในการคิดค้นเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ จึงทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์และเทคนิควิธีการใหม่ ๆ ตลอดเวลา สิ่งประดิษฐ์และเทคนิควิธีการใหม่นี้เรียกว่า “เทคโนโลยี” (กรมวิชาการ, 2542, หน้า 1)
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ในการสอนของครู ครูส่วนใหญ่หลังจากที่ได้รับการอบรมจะมีการประชุมเพื่อเสนอปัญหาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันเพื่อนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในการจัดการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง เช่น ในการสร้างสื่อบทเรียนสำเร็จรูป การทำพาวเวอร์พ้อย (power point) การทำบทเรียน และหนังสือเรียน (E -learning E – book) โดยมอบหมายให้ผู้มีความรู้ความสามารถ ช่วยแนะนำผู้ที่ยังขาดทักษะการใช้สื่อสาร (ICT) โดยมีการให้สังเกตผู้มีทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ที่สูงกว่ารับฟังข้อบกพร่องของการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ซักถามข้อสงสัยในการปฏิบัติ พร้อมให้ผู้ฟังบันทึกขั้นตอนการปฏิบัติตามความเข้าใจ เพื่อจะได้นำความรู้ไปเชื่อมโยงในการปฏิบัติจริงและจะได้นำความรู้ไปจัดการเรียนรู้ ให้นักเรียนเกิดทักษะในการค้นคว้าและเรียนรู้ต่อไปภายใต้การนิเทศ กำกับติดตามของคณะกรรมการนิเทศในสถานศึกษา ซึ่งส่งผลให้คุณภาพการเรียนรู้และมาตรฐานการศึกษาของกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ สูงขึ้นด้วยสอดคล้องกับ ศศิกาญจน์ รัตนศรี(2543, หน้า 26) ที่พบว่าการให้ครูพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) จัดการศึกษาให้สำเร็จจะต้องให้คำปรึกษา มีการปรึกษาหารือ ไปศึกษานอกสถานที่ ให้ปฏิบัติจริงการประชุมร่วมกัน การให้ความรู้เสริม การมีส่วนร่วมในการวางแผนการประชุมย่อย การศึกษาด้วยตนเอง การปฏิบัติแบบร่วมมือ การประเมินผลตนเอง การจัดแสดงผลงาน การรับรางวัลแห่งความสำเร็จและสอดคล้องกับเยาวลักษณ์ พิเชษฐโสภณ (2550, หน้า 45) ที่พบว่า บทเรียนสำเร็จรูปเป็นบทเรียนที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมสามารถนำไปสอนร่วมกับกิจกรรมการเรียนการสอนอื่นๆ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดีและยังสอดคล้องกับวิภาดา นิธิปรีชานนท์ ซึ่งพบว่าการเรียนรู้โดยการใช้ ICT สามารถเรียนรู้ไปพร้อมกัน เป็นการเรียนรู้และทำงานแบบเป็นทีม ผลัดกันทำหน้าที่ตามความถนัด และความสนใจของแต่ละคน ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามศักยภาพ และความถนัดของผู้เรียนแต่ละคนตามแนวทางปฏิรูปการศึกษา เช่น สืบค้นข้อมูลต่างๆ การสร้างสรรค์ผลงานด้วย ICT และนำเสนอผลงานของตนเองผลที่ได้รับคือ ความสามัคคี ความรักใคร่ปรองดอง และการยอมรับซึ่งกันและกัน การฝึกฝนให้เป็นคนใฝ่รู้ เพื่อศึกษาและทำให้สำเร็จตามเงื่อนไขทำให้ครูและผู้เรียนค้นพบตนเองว่ามีความสามารถด้าน ICT เป็นรูปแบบการบริหารจัดการที่มีคุณค่าและประโยชน์มหาศาล เช่น ช่วยประหยัดงบประมาณกระดาษ ช่วยลดคนทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของเนื้องาน
ปัจจัยที่สำคัญในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพคือสื่อการสอน โดยเฉพาะสื่อสารสนเทศ (ICT) จะต้องได้รับการพัฒนาให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมของสังคมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนรูปไป โดยคำนึงถึงการพัฒนาประสิทธิภาพการเรียนการสอน กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ละโรงเรียนจึงมีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้และพัฒนาสื่อการสอนอย่างกว้างขวาง โดยมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือและส่งเสริมการผลิตสื่อการเรียนการสอนให้มีคุณภาพเหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนและความต้องการของท้องถิ่น ดังคำกล่าวที่ว่า “เทคโนโลยีก้าวไกลโยงใยทั่วโลก” ส่งผลให้โลกทัศน์ของเด็กไทยเปิดกว้างขึ้น
สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกอย่าง ใกล้ชิด และสังคมไทยนั้นมีการเปลี่ยนจากความไม่เท่าเทียมในด้านต่าง ๆ ตามกระแสของโลก ตามกระแสของ เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแบบต่าง ๆ ทั้งแบบข้ามชาติก็ทำได้ง่ายขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศสู่การศึกษา การ เรียนการสอนมีการพัฒนาสู่อนาคตอย่างไม่สิ้นสุด ทางการศึกษาไทยครูผู้สอนส่วนใหญ่จึงยังขาดความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสร้างสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาผู้เรียน จึงมีผู้วิจัยศึกษาเรื่องครูยังขาดความพร้อมในการใช้สื่อ สร้างสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ดังนี้ณัฐพล กุลบุตร (2555) กล่าวว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ มีความสำคัญกับชีวิตประจำวันมากที่ต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน รวมทั้งการใช้อินเตอร์เน็ต search หาข้อมูลต่าง ๆ แม้กระทั่งใช้ในการศึกษาอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทมากในปัจจุบัน มนต์ฑา บุญท้วม (2556) กล่าวถึงสาระที่สำคัญที่สุดของการเรียนรู้ เพื่อเตรียมสังคมไทยเข้าสู่โลกยุคใหม่ จากสภาพสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นครอบครัวเดี่ยว พ่อแม่ทุ่มเวลาหาเงิน ทำงานแล้วใช้เทคโนโลยีเลี้ยงดูเด็ก เพราะคิดว่าดีกว่าความเป็นจริงแล้วจะทำให้เกิดผลเสียต่อพัฒนาการของเด็ก ชนิตร ภู่กาญจน์ (2556) กล่าวว่า การเรียนรู้ในสังคมยุคใหม่ครูต้องมีกลยุทธ์ในการสอน และต้องไม่เน้นเนื้อหาเพียงวิชาใดวิชาหนึ่ง ต้องเรียนรู้เนื้อหาให้ได้ทุก ๆ วิชา นอกจากนี้ยังต้องคอยสังเกตภายนอกห้องเรียนอยู่เสมอ เพื่อไว้ปรับเปลี่ยนการสอนไม่ให้เด็กรู้สึกเบื่อ ครูต้องมีแนวทางในการสอนที่ทันสมัย วิชิตพงษ์ ปัณราช (2555) กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้การติดต่อสื่อสารและการคมนาคมมีความสะดวกทันสมัยมาก มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการติดต่อสื่อสารกันอย่างรวดเร็ว ทำให้สังคมในปัจจุบันมีผลต่อการดำเนินชีวิต โดยใช้เทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตปะจำวัน ยืน ภู่วรวรรณ (2555) กล่าวว่า ทุกวันนี้เราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีที คอมพิวเตอร์ช่วยให้เราเพิ่มขีดความสามารถในการคำนวณและประมวลผลข้อมูลได้เร็ว ถูกต้อง แม่นยำ อีกทั้งยังเก็บข้อมูลได้มาก เครือข่ายสื่อสารทำให้เราติดต่อถึงกันได้ง่าย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็ว สังคมใหม่จึงเป็นสังคมที่ต้องพึ่งพาไอซีที จันทวรรณ ปิยะวัฒน์ (2555) กล่าวว่า ปัญหาเทคโนโลยีทางการศึกษาโดยส่วนใหญ่ได้แก่ปัญหาความพร้อมของผู้สอน ครูยังขาดความพร้อมในการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยี ครูผู้สอนไม่เห็นความสำคัญของนวัตกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศ ครูผู้สอนขาดความรู้ขาดประสบการณ์และความชำนาญในการใช้สื่อ สร้างสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อจัดการเรียนการสอน การที่จะพัฒนาผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพได้นั้น ก็จะต้องเริ่มจากการพัฒนาครู/อาจารย์ก่อน ปัญหาด้านวัสดุ อุปกรณ์ งบประมาณ คือ ยังขาดงบประมาณในการพัฒนานวัตกรรม ปัญหาด้านสภาพการเรียนการสอนเด็กมีความแตกต่างกันด้านสติปัญญา ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านสังคม ปัญหาสุขภาพต่างๆนี้ก็ทำให้เด็กมีการตอบสนองรับรู้การเรียนการสอนได้ไม่เท่ากัน ทำให้มีผลต่อสภาพการเรียนการสอน และสุวัฒน์ ธรรมสุนทร (2555) กล่าวว่าแนวทางการแก้ไขปัญหา ครูยังขาดความพร้อมในการเรียนการ สอนด้วยเทคโนโลยี
ส่งเสริมการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการเรียนการสอนของครูผู้สอน
ส่งเสริมให้ ครูผู้สอนมีความรู้ ทักษะ การสร้างสื่อ นวัตกรรม และบทเรียนด้วยวิธีการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
-ด้านการกระจายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการศึกษา มีสถานศึกษาหลายแห่งและหลายพื้นที่ที่โทรศัพท์ยังเข้าไม่ถึง และคอมพิวเตอร์ยังไม่มีหรือมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ และที่มีอยู่ก็ขาดการบำรุงรักษา รวมทั้งไม่อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการศึกษาโดยเฉพาะคู่สายโทรศัพท์ยังมีบริการไปไม่ทั่วถึง อาจเพราะสถานศึกษาเหล่านี้อยู่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล ดังนั้นสถานศึกษาต้องรีบดำเนินการแก้ไข เพราะเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่ระบบอินเทอร์เน็ต
-ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ครูใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพครูน้อยมาก และคอมพิวเตอร์มีจำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการที่ครูจะใช้ แสดงให้เห็นว่าครูยังต้องได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อีกเป็นจำนวนมาก และสถานศึกษาก็ต้องจัดหาคอมพิวเตอร์ให้เพียงพอต่อความต้องการของครู
-มีการวางแผนที่ไม่ดีพอ ที่สำคัญคือ การวางแผนจัดการความเสี่ยงไม่ดีพอ ยิ่งสถานศึกษามีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด การจัดการกับความเสี่ยงย่อมจะมีความสำคัญมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านนี้เพิ่มสูงขึ้น
-การนำเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้งาน การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในสถานศึกษาจำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องและตรงกับลักษณะของแนวการสอนหรือนโยบายของสถานศึกษา หากเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของสถานศึกษาแล้วจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา และเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณเกินความจำเป็น
-การขาดการจัดการหรือสนับสนุนจากผู้บริหารสถานศึกษาระดับสูง การที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้งานในสถานศึกษา ถ้าขาดซึ่งความสนับสนุนจากผู้บริหารสถานศึกษาระดับสูงแล้ว ก็ถือว่าไม่ประสบผลสำเร็จตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น การได้รับความมั่นใจจากผู้บริหารสถานศึกษาระดับสูงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญและจำเป็นที่จะทำให้การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในสถานศึกษาประสบความสำเร็จ
-ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการและให้บริการทางการศึกษา สถานศึกษายังขาดรูปแบบระบบสารสนเทศ และจัดให้ผู้บริหารมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับเบื้องต้น ชี้ให้เห็นว่าสถานศึกษายังไม่มีระบบข้อมูลสารสนเทศที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ผู้บริหารต้องได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารเสนเทศและการสื่อสารเพื่อให้เห็นความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จะนำมาพัฒนาการบริหารจัดการและการบริการทางการศึกษา
ปัญหาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ พบว่า ส่วนใหญ่การใช้วัสดุ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ และเทคนิควิธีการ ครูหรือบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนมีปัญหาด้านงบประมาณไม่เพียงพอและมีความล่าช้า วัสดุ เครื่องมือหรืออุปกรณ์มีไม่เพียงพอกับความต้องการ
ในปัจจุบันจึงจําเป็นต้องมีความรู้ความชํานาญในทักษะดังกล่าว และจําเป็นต้องเข้าใจการใช้เครื่องมือที่จําเป็นทางไอซีทีในการทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนยังต้องการมากกว่าความรู้ในวิชาหลัก ที่จะใช้ในการทํางานในปัจจุบัน นั่นคือทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะในการแก้ปัญหา ความสามารถในการติดต่อสื่อสาร การทํางานร่วมกับผู้อื่น การจัดการกับข้อมูลข่าวสาร และความรู้ในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการใช้เครื่องมือในการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยสภาพแวดล้อมปัจจุบัน จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาในด้านต่าง ๆ คือ ครูผ้สอน หลักสูตร โรงเรียน และไอซีที โครงการการบูรณาการไอซีทีในการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นโครงการของยูเนสโก ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก Korean-Funds-In-Trust (KFIT) ยูเนสโกมุ่งหวังที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมอันเอื้อต่อ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) โดยมีนักเรียนเปนศูนย์กลาง พร้อมทั้งส่งเสริมการคิดระดับสูง ยุทธวิธีหนึ่งที่จะทําให้บรรลุเป้าหมายนี้คือการสร้างความร่วมมืออันเข้มแข็งยิ่งขึ้นระหว่างสถาบันการศึกษาครู (Teacher Education Institutions หรือ TEIs) และโรงเรียน โดยใช้การเรียนแบบโครงการเป็นฐาน (Project-Based Learning) และการร่วมมือแบบทางไกล (Tele-Collaboration) เป็นเครื่องมือ James G. Greeno (2006) ได้ให้ความหมายของ Project-Based Learning ว่าเปนการใช้โครงงาน ในห้องเรียนอันมุ่งหมายจะทําให้เกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง โดยที่นักเรียนใช้เทคโนโลยีและการตั้งคําถามใน การจัดการกับประเด็น และปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจําวันของตน Judi Harris (1998) ได้อธิบาย Tele-Collaboration ว่าเป็นการดําเนินการด้านการศึกษาซึ่งให้คน ในสถานที่ต่าง ๆ กันได้มีส่วนร่วม โดยใช้เครื่องมือและทรัพยากรทางอินเทอร์เน็ตมาทํางานร่วมกัน TeleCollaboration ในทางการศึกษาจะมีพื้นฐานอยู่บนหลักสูตร ออกแบบโดยครู และประสานงานโดยครู โดยมากจะใช้อีเมลล์เพื่อช่วยให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถสื่อสารกันได้ ยูเนสโกได้เลือกสิบประเทศใหเข้าร่วมโครงการซึ่งมีชื่อว่า Facilitating Effective ICT-Pedagogy Integration หรือโครงการการบูรณาการไอซีทีในการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ สําหรับแต่ละประเทศ สถาบันการศึกษาครูสองแห่งเปนผู้นําโครงการในฐานะผู้ร่วมปฏิบัติโครงการ สถาบันการศึกษาครูแต่ละแห่ง ได่ประสานงานกับโรงเรียนสิบโรงที่เปนโรงเรียนในเครือข่ายรองรับครูฝึกสอนของสถาบันการศึกษาครู มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นสถาบันการศึกษาครูที่ใหญที่สุด และเก่าแก่ที่สุดของภาคเหนือ จึงได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ KFIT และได้เริ่มจัดตั้งทีมงาน ประกอบด้วยอาจารย์นักการศึกษาของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จํานวน 5 ท่าน เพื่อดําเนินการโครงการนี้ โดยคาดหวังว่า ผลการวิจัยการใช้การเรียน แบบโครงการเป็นฐาน (Project-Based Learning) และการร่วมมือแบบทางไกล (Tele-Collaboration) เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอน จะสร้างสิ่งแวดล้อมอันเอื้อต่อการใช้ไอซีที โดยมีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งส่งเสริมการคิดระดับสูง เพื่อประโยชนBในการบูรณาการไอซีทีในการสอนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จากที่กล่าวมาทั้งหมด เรื่องครูยังขาดความพร้อมในการใช้สื่อ สร้างสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ จึ่งมีแนวทางในการแก้ไขดังนี้ คือ
1) การจัดอบรมครูในการสร้างสื่อ ใช้สื่อนวัตกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลาย เพื่อใช้จัดการเรียนการสอน และสอดคล้องกับงานวิจัยของ Lissar, M. (2555) ศึกษา การพัฒนาสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ ในรูปแบบของการอบรมด้านเทคโนโลยีที่มีความสำคัญในการสร้างสื่อการสอนผ่านเว็บ งานวิจัยของ พิสิฐ เมธาภัทร (2555) ศึกษา การพัฒนาและฝึกอบรมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรู้และทักษะในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการสอน เพื่อนำมาถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียนและงานวิจัยของ วรางคณา โตโพธิ์ไทย (2556) ศึกษา สื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเรียนการสอน เพื่อให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร การพัฒนาครูซึ่งเป็นบุคลากรสำคัญทางการศึกษาให้มีความรู้ด้านการพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จึงส่งเสริมให้จัดการอบรมเรื่องการพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จะช่วยให้ครูมีความรู้เกี่ยวกับการออกแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเรียนการสอน
2) มีการส่งเสริมการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอน และพัฒนานวัตกรรมเครือข่ายการเรียนรู้ของครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน สอดคล้องกับงานวิจัยของ Magen, N. (2556) ศึกษา ความแตกต่างในระดับของความรู้ของการใช้ คอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอน การสร้างสื่อและกระบวนการเรียนรู้ การประเมินและทัศนคติของครูผู้สอน เป็นสิ่งที่จำเป็นในการส่งเสริมการดำเนินงานของการเรียนการสอนที่ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่เป็นนวัตกรรม และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ชุมศักดิ์ อินทร์รักษ์ (2555) ศึกษา การส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมเครือข่ายการเรียนรู้ ของครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ของครูและบุคลากรทางการศึกษา ในการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


