วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ปัญหาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาของครู
ในปัจจุบันถือว่าเป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร การดำเนินชีวิตของมนุษย์จำเป็นต้องมีความเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เครื่องใช้ที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูงมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในวงธุรกิจและอุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูงที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกวงการ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบันเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก โดยเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคน จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์มาตั้งแต่การเกิดของมวลมนุษยชาติ การพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยนั้น มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นวิวัฒนาการของเทคโนโลยีได้ตั้งแต่ตั้งแต่ยุคหิน โลหะ บรอน เกษตร อุตสาหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิตอล พัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละยุค ส่งผลให้เกิดการสั่งสมความรู้ ทฤษฎีทักษะกระบวนการ เทคนิควิธีการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างมากมาย เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการ ความมุ่งหวัง ความพยายาม ความสามารถในการคิดค้นเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ จึงทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์และเทคนิควิธีการใหม่ ๆ ตลอดเวลา สิ่งประดิษฐ์และเทคนิควิธีการใหม่นี้เรียกว่า “เทคโนโลยี” (กรมวิชาการ, 2542, หน้า 1)
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ในการสอนของครู ครูส่วนใหญ่หลังจากที่ได้รับการอบรมจะมีการประชุมเพื่อเสนอปัญหาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันเพื่อนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในการจัดการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง เช่น ในการสร้างสื่อบทเรียนสำเร็จรูป การทำพาวเวอร์พ้อย (power point) การทำบทเรียน และหนังสือเรียน (E -learning E – book) โดยมอบหมายให้ผู้มีความรู้ความสามารถ ช่วยแนะนำผู้ที่ยังขาดทักษะการใช้สื่อสาร (ICT) โดยมีการให้สังเกตผู้มีทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ที่สูงกว่ารับฟังข้อบกพร่องของการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ซักถามข้อสงสัยในการปฏิบัติ พร้อมให้ผู้ฟังบันทึกขั้นตอนการปฏิบัติตามความเข้าใจ เพื่อจะได้นำความรู้ไปเชื่อมโยงในการปฏิบัติจริงและจะได้นำความรู้ไปจัดการเรียนรู้ ให้นักเรียนเกิดทักษะในการค้นคว้าและเรียนรู้ต่อไปภายใต้การนิเทศ กำกับติดตามของคณะกรรมการนิเทศในสถานศึกษา ซึ่งส่งผลให้คุณภาพการเรียนรู้และมาตรฐานการศึกษาของกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ สูงขึ้นด้วยสอดคล้องกับ ศศิกาญจน์ รัตนศรี(2543, หน้า 26) ที่พบว่าการให้ครูพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) จัดการศึกษาให้สำเร็จจะต้องให้คำปรึกษา มีการปรึกษาหารือ ไปศึกษานอกสถานที่ ให้ปฏิบัติจริงการประชุมร่วมกัน การให้ความรู้เสริม การมีส่วนร่วมในการวางแผนการประชุมย่อย การศึกษาด้วยตนเอง การปฏิบัติแบบร่วมมือ การประเมินผลตนเอง การจัดแสดงผลงาน การรับรางวัลแห่งความสำเร็จและสอดคล้องกับเยาวลักษณ์ พิเชษฐโสภณ (2550, หน้า 45) ที่พบว่า บทเรียนสำเร็จรูปเป็นบทเรียนที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมสามารถนำไปสอนร่วมกับกิจกรรมการเรียนการสอนอื่นๆ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดีและยังสอดคล้องกับวิภาดา นิธิปรีชานนท์ ซึ่งพบว่าการเรียนรู้โดยการใช้ ICT สามารถเรียนรู้ไปพร้อมกัน เป็นการเรียนรู้และทำงานแบบเป็นทีม ผลัดกันทำหน้าที่ตามความถนัด และความสนใจของแต่ละคน ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามศักยภาพ และความถนัดของผู้เรียนแต่ละคนตามแนวทางปฏิรูปการศึกษา เช่น สืบค้นข้อมูลต่างๆ การสร้างสรรค์ผลงานด้วย ICT และนำเสนอผลงานของตนเองผลที่ได้รับคือ ความสามัคคี ความรักใคร่ปรองดอง และการยอมรับซึ่งกันและกัน การฝึกฝนให้เป็นคนใฝ่รู้ เพื่อศึกษาและทำให้สำเร็จตามเงื่อนไขทำให้ครูและผู้เรียนค้นพบตนเองว่ามีความสามารถด้าน ICT เป็นรูปแบบการบริหารจัดการที่มีคุณค่าและประโยชน์มหาศาล เช่น ช่วยประหยัดงบประมาณกระดาษ ช่วยลดคนทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของเนื้องาน
ปัจจัยที่สำคัญในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพคือสื่อการสอน โดยเฉพาะสื่อสารสนเทศ (ICT) จะต้องได้รับการพัฒนาให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมของสังคมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนรูปไป โดยคำนึงถึงการพัฒนาประสิทธิภาพการเรียนการสอน กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ละโรงเรียนจึงมีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้และพัฒนาสื่อการสอนอย่างกว้างขวาง โดยมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือและส่งเสริมการผลิตสื่อการเรียนการสอนให้มีคุณภาพเหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนและความต้องการของท้องถิ่น ดังคำกล่าวที่ว่า “เทคโนโลยีก้าวไกลโยงใยทั่วโลก” ส่งผลให้โลกทัศน์ของเด็กไทยเปิดกว้างขึ้น
สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกอย่าง ใกล้ชิด และสังคมไทยนั้นมีการเปลี่ยนจากความไม่เท่าเทียมในด้านต่าง ๆ ตามกระแสของโลก ตามกระแสของ เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแบบต่าง ๆ ทั้งแบบข้ามชาติก็ทำได้ง่ายขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศสู่การศึกษา การ เรียนการสอนมีการพัฒนาสู่อนาคตอย่างไม่สิ้นสุด ทางการศึกษาไทยครูผู้สอนส่วนใหญ่จึงยังขาดความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสร้างสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาผู้เรียน จึงมีผู้วิจัยศึกษาเรื่องครูยังขาดความพร้อมในการใช้สื่อ สร้างสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ดังนี้ณัฐพล กุลบุตร (2555) กล่าวว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ มีความสำคัญกับชีวิตประจำวันมากที่ต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน รวมทั้งการใช้อินเตอร์เน็ต search หาข้อมูลต่าง ๆ แม้กระทั่งใช้ในการศึกษาอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทมากในปัจจุบัน มนต์ฑา บุญท้วม (2556) กล่าวถึงสาระที่สำคัญที่สุดของการเรียนรู้ เพื่อเตรียมสังคมไทยเข้าสู่โลกยุคใหม่ จากสภาพสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นครอบครัวเดี่ยว พ่อแม่ทุ่มเวลาหาเงิน ทำงานแล้วใช้เทคโนโลยีเลี้ยงดูเด็ก เพราะคิดว่าดีกว่าความเป็นจริงแล้วจะทำให้เกิดผลเสียต่อพัฒนาการของเด็ก ชนิตร ภู่กาญจน์ (2556) กล่าวว่า การเรียนรู้ในสังคมยุคใหม่ครูต้องมีกลยุทธ์ในการสอน และต้องไม่เน้นเนื้อหาเพียงวิชาใดวิชาหนึ่ง ต้องเรียนรู้เนื้อหาให้ได้ทุก ๆ วิชา นอกจากนี้ยังต้องคอยสังเกตภายนอกห้องเรียนอยู่เสมอ เพื่อไว้ปรับเปลี่ยนการสอนไม่ให้เด็กรู้สึกเบื่อ ครูต้องมีแนวทางในการสอนที่ทันสมัย วิชิตพงษ์ ปัณราช (2555) กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้การติดต่อสื่อสารและการคมนาคมมีความสะดวกทันสมัยมาก มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการติดต่อสื่อสารกันอย่างรวดเร็ว ทำให้สังคมในปัจจุบันมีผลต่อการดำเนินชีวิต โดยใช้เทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตปะจำวัน ยืน ภู่วรวรรณ (2555) กล่าวว่า ทุกวันนี้เราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีที คอมพิวเตอร์ช่วยให้เราเพิ่มขีดความสามารถในการคำนวณและประมวลผลข้อมูลได้เร็ว ถูกต้อง แม่นยำ อีกทั้งยังเก็บข้อมูลได้มาก เครือข่ายสื่อสารทำให้เราติดต่อถึงกันได้ง่าย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็ว สังคมใหม่จึงเป็นสังคมที่ต้องพึ่งพาไอซีที จันทวรรณ ปิยะวัฒน์ (2555) กล่าวว่า ปัญหาเทคโนโลยีทางการศึกษาโดยส่วนใหญ่ได้แก่ปัญหาความพร้อมของผู้สอน ครูยังขาดความพร้อมในการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยี ครูผู้สอนไม่เห็นความสำคัญของนวัตกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศ ครูผู้สอนขาดความรู้ขาดประสบการณ์และความชำนาญในการใช้สื่อ สร้างสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อจัดการเรียนการสอน การที่จะพัฒนาผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพได้นั้น ก็จะต้องเริ่มจากการพัฒนาครู/อาจารย์ก่อน ปัญหาด้านวัสดุ อุปกรณ์ งบประมาณ คือ ยังขาดงบประมาณในการพัฒนานวัตกรรม ปัญหาด้านสภาพการเรียนการสอนเด็กมีความแตกต่างกันด้านสติปัญญา ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านสังคม ปัญหาสุขภาพต่างๆนี้ก็ทำให้เด็กมีการตอบสนองรับรู้การเรียนการสอนได้ไม่เท่ากัน ทำให้มีผลต่อสภาพการเรียนการสอน และสุวัฒน์ ธรรมสุนทร (2555) กล่าวว่าแนวทางการแก้ไขปัญหา ครูยังขาดความพร้อมในการเรียนการ สอนด้วยเทคโนโลยี
ส่งเสริมการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการเรียนการสอนของครูผู้สอน
ส่งเสริมให้ ครูผู้สอนมีความรู้ ทักษะ การสร้างสื่อ นวัตกรรม และบทเรียนด้วยวิธีการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
-ด้านการกระจายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการศึกษา มีสถานศึกษาหลายแห่งและหลายพื้นที่ที่โทรศัพท์ยังเข้าไม่ถึง และคอมพิวเตอร์ยังไม่มีหรือมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ และที่มีอยู่ก็ขาดการบำรุงรักษา รวมทั้งไม่อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการศึกษาโดยเฉพาะคู่สายโทรศัพท์ยังมีบริการไปไม่ทั่วถึง อาจเพราะสถานศึกษาเหล่านี้อยู่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล ดังนั้นสถานศึกษาต้องรีบดำเนินการแก้ไข เพราะเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่ระบบอินเทอร์เน็ต
-ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ครูใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพครูน้อยมาก และคอมพิวเตอร์มีจำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการที่ครูจะใช้ แสดงให้เห็นว่าครูยังต้องได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อีกเป็นจำนวนมาก และสถานศึกษาก็ต้องจัดหาคอมพิวเตอร์ให้เพียงพอต่อความต้องการของครู
-มีการวางแผนที่ไม่ดีพอ ที่สำคัญคือ การวางแผนจัดการความเสี่ยงไม่ดีพอ ยิ่งสถานศึกษามีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด การจัดการกับความเสี่ยงย่อมจะมีความสำคัญมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านนี้เพิ่มสูงขึ้น
-การนำเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้งาน การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในสถานศึกษาจำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องและตรงกับลักษณะของแนวการสอนหรือนโยบายของสถานศึกษา หากเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของสถานศึกษาแล้วจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา และเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณเกินความจำเป็น
-การขาดการจัดการหรือสนับสนุนจากผู้บริหารสถานศึกษาระดับสูง การที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้งานในสถานศึกษา ถ้าขาดซึ่งความสนับสนุนจากผู้บริหารสถานศึกษาระดับสูงแล้ว ก็ถือว่าไม่ประสบผลสำเร็จตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น การได้รับความมั่นใจจากผู้บริหารสถานศึกษาระดับสูงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญและจำเป็นที่จะทำให้การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในสถานศึกษาประสบความสำเร็จ
-ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการและให้บริการทางการศึกษา สถานศึกษายังขาดรูปแบบระบบสารสนเทศ และจัดให้ผู้บริหารมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับเบื้องต้น ชี้ให้เห็นว่าสถานศึกษายังไม่มีระบบข้อมูลสารสนเทศที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ผู้บริหารต้องได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารเสนเทศและการสื่อสารเพื่อให้เห็นความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จะนำมาพัฒนาการบริหารจัดการและการบริการทางการศึกษา
ปัญหาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ พบว่า ส่วนใหญ่การใช้วัสดุ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ และเทคนิควิธีการ ครูหรือบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนมีปัญหาด้านงบประมาณไม่เพียงพอและมีความล่าช้า วัสดุ เครื่องมือหรืออุปกรณ์มีไม่เพียงพอกับความต้องการ
ในปัจจุบันจึงจําเป็นต้องมีความรู้ความชํานาญในทักษะดังกล่าว และจําเป็นต้องเข้าใจการใช้เครื่องมือที่จําเป็นทางไอซีทีในการทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนยังต้องการมากกว่าความรู้ในวิชาหลัก ที่จะใช้ในการทํางานในปัจจุบัน นั่นคือทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะในการแก้ปัญหา ความสามารถในการติดต่อสื่อสาร การทํางานร่วมกับผู้อื่น การจัดการกับข้อมูลข่าวสาร และความรู้ในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการใช้เครื่องมือในการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยสภาพแวดล้อมปัจจุบัน จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาในด้านต่าง ๆ คือ ครูผ้สอน หลักสูตร โรงเรียน และไอซีที โครงการการบูรณาการไอซีทีในการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นโครงการของยูเนสโก ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก Korean-Funds-In-Trust (KFIT) ยูเนสโกมุ่งหวังที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมอันเอื้อต่อ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) โดยมีนักเรียนเปนศูนย์กลาง พร้อมทั้งส่งเสริมการคิดระดับสูง ยุทธวิธีหนึ่งที่จะทําให้บรรลุเป้าหมายนี้คือการสร้างความร่วมมืออันเข้มแข็งยิ่งขึ้นระหว่างสถาบันการศึกษาครู (Teacher Education Institutions หรือ TEIs) และโรงเรียน โดยใช้การเรียนแบบโครงการเป็นฐาน (Project-Based Learning) และการร่วมมือแบบทางไกล (Tele-Collaboration) เป็นเครื่องมือ James G. Greeno (2006) ได้ให้ความหมายของ Project-Based Learning ว่าเปนการใช้โครงงาน ในห้องเรียนอันมุ่งหมายจะทําให้เกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง โดยที่นักเรียนใช้เทคโนโลยีและการตั้งคําถามใน การจัดการกับประเด็น และปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจําวันของตน Judi Harris (1998) ได้อธิบาย Tele-Collaboration ว่าเป็นการดําเนินการด้านการศึกษาซึ่งให้คน ในสถานที่ต่าง ๆ กันได้มีส่วนร่วม โดยใช้เครื่องมือและทรัพยากรทางอินเทอร์เน็ตมาทํางานร่วมกัน TeleCollaboration ในทางการศึกษาจะมีพื้นฐานอยู่บนหลักสูตร ออกแบบโดยครู และประสานงานโดยครู โดยมากจะใช้อีเมลล์เพื่อช่วยให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถสื่อสารกันได้ ยูเนสโกได้เลือกสิบประเทศใหเข้าร่วมโครงการซึ่งมีชื่อว่า Facilitating Effective ICT-Pedagogy Integration หรือโครงการการบูรณาการไอซีทีในการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ สําหรับแต่ละประเทศ สถาบันการศึกษาครูสองแห่งเปนผู้นําโครงการในฐานะผู้ร่วมปฏิบัติโครงการ สถาบันการศึกษาครูแต่ละแห่ง ได่ประสานงานกับโรงเรียนสิบโรงที่เปนโรงเรียนในเครือข่ายรองรับครูฝึกสอนของสถาบันการศึกษาครู มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นสถาบันการศึกษาครูที่ใหญที่สุด และเก่าแก่ที่สุดของภาคเหนือ จึงได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ KFIT และได้เริ่มจัดตั้งทีมงาน ประกอบด้วยอาจารย์นักการศึกษาของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จํานวน 5 ท่าน เพื่อดําเนินการโครงการนี้ โดยคาดหวังว่า ผลการวิจัยการใช้การเรียน แบบโครงการเป็นฐาน (Project-Based Learning) และการร่วมมือแบบทางไกล (Tele-Collaboration) เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอน จะสร้างสิ่งแวดล้อมอันเอื้อต่อการใช้ไอซีที โดยมีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งส่งเสริมการคิดระดับสูง เพื่อประโยชนBในการบูรณาการไอซีทีในการสอนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จากที่กล่าวมาทั้งหมด เรื่องครูยังขาดความพร้อมในการใช้สื่อ สร้างสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ จึ่งมีแนวทางในการแก้ไขดังนี้ คือ
1) การจัดอบรมครูในการสร้างสื่อ ใช้สื่อนวัตกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลาย เพื่อใช้จัดการเรียนการสอน และสอดคล้องกับงานวิจัยของ Lissar, M. (2555) ศึกษา การพัฒนาสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ ในรูปแบบของการอบรมด้านเทคโนโลยีที่มีความสำคัญในการสร้างสื่อการสอนผ่านเว็บ งานวิจัยของ พิสิฐ เมธาภัทร (2555) ศึกษา การพัฒนาและฝึกอบรมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรู้และทักษะในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการสอน เพื่อนำมาถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียนและงานวิจัยของ วรางคณา โตโพธิ์ไทย (2556) ศึกษา สื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเรียนการสอน เพื่อให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร การพัฒนาครูซึ่งเป็นบุคลากรสำคัญทางการศึกษาให้มีความรู้ด้านการพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จึงส่งเสริมให้จัดการอบรมเรื่องการพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จะช่วยให้ครูมีความรู้เกี่ยวกับการออกแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเรียนการสอน
2) มีการส่งเสริมการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอน และพัฒนานวัตกรรมเครือข่ายการเรียนรู้ของครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน สอดคล้องกับงานวิจัยของ Magen, N. (2556) ศึกษา ความแตกต่างในระดับของความรู้ของการใช้ คอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอน การสร้างสื่อและกระบวนการเรียนรู้ การประเมินและทัศนคติของครูผู้สอน เป็นสิ่งที่จำเป็นในการส่งเสริมการดำเนินงานของการเรียนการสอนที่ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่เป็นนวัตกรรม และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ชุมศักดิ์ อินทร์รักษ์ (2555) ศึกษา การส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมเครือข่ายการเรียนรู้ ของครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ของครูและบุคลากรทางการศึกษา ในการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น